ปฐมบท : ไสยศาสตร์มหามนตรา
มีคนเคยกล่าวไว้อย่างน่าฟังว่า มนุษย์ดำรงชีวิตอยู่กับสิ่งที่เรียกว่า “ความเชื่อ” ซึ่งก็หมายถึงความมั่นใจในสิ่งหนึ่งสิ่งใดว่าเป็นจริง หรือจะเกิดขึ้นจริง ความเชื่ออาจไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลทางวิทยาศาสตร์มารองรับ เช่น คนญี่ปุ่นมีความเชื่อว่าหากสลักชื่อของตนลงในแตงกวาแล้วโยนลงแม่น้ำ ภูติที่ถูกเรียกว่า กัปปะ จะไม่ทำร้าย สำหรับคนไทย ความเชื่อของเรายิ่งลงรากฝังลึกและหลากหลายยิ่งกว่า เช่น ห้ามตัดผม ตัดเล็บวันพุธ ห้ามเล่าความฝันขณะทานข้าว หรือห้ามนอนหันศีรษะไปทางทิศตะวันตก เป็นต้นแต่ถ้าถามว่าเพราะอะไร เราอาจได้รับคำตอบที่แสนง่ายว่า “เขาถือ” “เขาว่ากันมา” แต่ “เขา” ไหนก็ไม่รู้เหมือนกันโดยส่วนมากเราคงได้ยินความเชื่อประเภทนี้จากผู้หลักผู้ใหญ่
อย่างไรก็ตาม วิถีตะวันตกที่แทรกซึมไปทั่วทุกมุมโลก ส่งผลให้ผู้คนเริ่มห่างไกลจากความเชื่อที่ไม่อาจหาข้อสรุปได้อย่างชัดเจน โดยหันมาพึ่งเทคโนโลยี วัตถุนิยม มากขึ้น ใครอยากรู้คำตอบอะไร ก็คว้าไอแพดมินิขึ้นมาเซิร์สหาข้อมูลในกูเกิล แค่นี้ก็เรียบร้อย หรือแม้แต่ปัญหาชีวิต อกหัก รักคุด ตุ๊ดยังเมิน ก็เข้าไปในสังคมออนไลน์ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยอย่างพันทิป คำตอบชนิดร้อยแปดพันเก้าก็จะเข้ามาให้ได้เลือกสรรนำไปใช้ ทว่าในความจริง ไม่ใช่ทุกอย่างที่เราสามารถหาคำตอบจากวิทยาศาสตร์ หรือ เทคโนโลยี ได้ ต่อให้เวลาจะผันผ่านจนมนุษย์ไปเหยียบดวงจันทร์แล้วก็ตาม
เหตุการณ์บางอย่างที่ดูเหนือธรรมชาติ อำนาจลึกลับที่สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตคน กอบกู้วิกฤติการณ์ บางคนอาจจะเรียกขานมันว่า “ปาฏิหาริย์” เชื่อเหลือเกินว่า ครั้งหนึ่งในชีวิตของคนเรา ย่อมปรารถนาให้ปาฏิหาริย์เกิดขึ้นอีกหนึ่งความเชื่อที่มีมายาวนานกว่าพันปี และนำไปสู่เหตุการณ์ที่ราวกับปาฏิหาริย์ ต้องสัมผัสเอง จึงจะมั่นใจได้ว่า มันคือเรื่องจริง นั่นคือ “ไสยศาสตร์” กล่าวถึงตรงนี้ หลายท่านคงเริ่มสยดสยอง นึกถึงภาพยนตร์เรื่อง “ลองของ” ที่เคยโด่งดังเมื่อนานมาแล้ว เนื้อหาเกี่ยวกับการทำของไม่ดีเข้าสู่ร่างกายของผู้อื่น ถึงขั้นกระอักเลือดตายกันเลยทีเดียว แต่ไสยศาสตร์ไม่ได้มีเพียงแง่มุมเดียวอย่างที่หลายสื่อนำเสนอ คงต้องมาทำความเข้าใจกันใหม่
โดยพื้นฐาน “ไสย” ก็หมายถึง ลิทธิ ว่าด้วยเรื่องของเวทย์มนต์ คาถา วิทยาคมทั้งหลาย ซึ่งแบ่งออกเป็น ไสยขาว และ ไสยดำ หากเป็นอย่างแรก ก็เป็นใช้วิชชาในทางที่ดี เช่น ทำเครื่องราง ของขลัง วัตถุมงคล เพื่อป้องกันอันตราย หรือสร้างเสน่ห์ให้กับตนเอง โดยมิได้มุ่งทำอันตรายแก่ผู้อื่น ส่วนไสยดำ หรือ อวิชชา นี่คือความเลวร้ายของแท้ เพราะจุดประสงค์ของการทำไสยดำคือ มุ่งทำร้ายคน เช่น ปล่อยตะปูเข้าท้อง เสกหนังควายเข้าท้อง บิดลำไส้ สั่งให้ผีไปทำร้าย หลอกหลอนผู้อื่น การนำบาตรวัดร้างไปฝังเพื่อทำให้บ้านแตกสาแหรกขาด เป็นต้นเมื่อคำว่า “ไสย” รวมกับคำว่า “ศาสตร์” ที่หมายถึง ตำรา วิชา ข้อบังคับ แล้ว “ไสยศาสตร์” ก็คือตำราลึกลับที่เกี่ยวกับอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์เวทย์มนต์ คาถา
เชื่อหรือไม่ว่า ไสยศาสตร์อยู่คู่คนไทยมาเกือบหมื่นปีแล้ว โดยจุดเริ่มต้น มาจากศาสตร์ 18 ประการของคนอินเดียโบราณ ทุกวันนี้เราใช้ชีวิตอยู่บนความเชื่อเรื่องไสยศาสตร์อย่างกลมกลืนจนแทบไม่รู้เลยว่า นั่นคือ ไสยศาสตร์ ตั้งแต่เราเกิด ก็มีการโกนผมไฟ ทำขวัญ อยู่ไปสักพักก็ทำบุญขึ้นบ้านใหม่ สวดบ้าน กระทั่งตายก็มีการทำโลงศพ เอาศพลงจากเรือน ทำประตูป่า บันไดผี นำศพขึ้นเผา ตลอดจนประเพณีไทยหลายอย่าง ล้วนแต่เป็นเรื่องเกี่ยวกับไสยศาสตร์ทั้งสิ้น ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่า ไสยศาสตร์ โดยตัวมันเองไม่ใช่สิ่งเลวร้าย แต่ขึ้นอยู่กับการนำไปใช้ การลงรักสักยันต์ หากสักแล้วไปขโมยของด้วยความมั่นใจว่าแคล้วคลาด หรือปล้นฆ่าชิงทรัพย์ เพราะเชื่อว่าไม่ถูกจับแน่ ต่อให้เป็นไสยขาว คุณค่าของมันก็ไม่ต่างกับอวิชชา และสุดท้าย “ของ” ก็จะเสื่อมลง
บุคคลในประวัติศาสตร์ไทยที่เกี่ยวข้องกับไสยศาสตร์ คือ สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ พระโอรสในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ซึ่งในสมัยก่อน ไสยศาสตร์นับเป็นอาภรณ์ประดับบารมีของชายชาตรี พระองค์ท่านมีพระราชประสงค์จะเล่าเรียน เพื่อปกป้องวรกายยามที่ต้องออกศึกสงคราม ปกป้องอธิปไตยของบ้านเมือง มิได้ต้องการมุ่งร้ายต่อผู้ใดก่อน
“...ส่วนตัวฉันเองจะเป็นใครแนะนำจำไม่ได้เสียแล้ว เกิดอยากเรียนวิชาอาคมคือวิชาที่ทำให้อยู่ยงคงกระพันชาตรีด้วยเวทย์มนต์และเครื่องรางต่างๆมีผู้พาอาจารย์มาให้รู้จักหลายคน ที่เป็นตัวสำคัญนั้นคือนักองค์วัตถาน้องสมเด็จพระนโรดมเจ้ากรุงกัมพูชาการศึกษาวิทยาคมในสมัยนั้นโดยเฉพาะเด็กกำลังรุ่นหนุ่มเช่นตัวฉัน ด้วยได้ฟังเขาเล่าเรื่องและบางทีทดลองให้เห็นอิทธิฤทธิ์กับทั้งได้สะสมมีเครื่องรางแปลกประหลาดที่ไม่เคยเห็น...”
(จากหลักฐานบันทึกความทรงจำ พระนิพนธ์สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ)
อีกประการหนึ่ง ไสยศาสตร์ ไม่ได้เป็นความเชื่อจำเพาะเจาะจงสำหรับประเทศไทยเท่านั้น แต่ยังสามารถเชื่อมโยงหลักความเชื่ออื่นๆ ได้อีก เช่นหลักของพลังงานแห่งซีกโลกตะวันออกซึ่งแบ่งออกเป็น หลักฟ้า หลักดิน และหลักคน สำหรับหลักฟ้า เชื่อว่าพลังของดวงชะตาราศีมีอิทธิพลทำให้ชีวิตของมนุษย์เกิดมาแตกต่างกันตามเวลานาทีที่ลืมตาดูโลก มนุษย์จึงมีรูปร่างหน้าตา ฐานะความเป็นอยู่ สติปัญญา ฟ้าประทานมาให้มนุษย์ไม่เหมือนกัน มีผลราว 50%
หลักดิน คือพลังของทิศทางน้ำ กระแสลม สภาวะพื้นดิน ตลอดจนสิ่งแวดล้อม องค์ประกอบของแหล่งที่ตั้งทำเล ที่อยู่อาศัย ที่ทำมาหากิน หรือปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ นำมาซึ่งสภาวะการเคลื่อนตัวของพลังงานตามหลัก หยิน– หยาง หรือที่เรียกกันว่าศาสตร์แห่งฮวงจุ้ย เป็นสภาวะที่สามารถปรับเปลี่ยนไปได้ตามการเสาะแสวงหาและปรับเปลี่ยนตามวิถีทางแห่งศาสตร์ ตลอดจนกำลังทรัพย์ที่สามารถจัดหามาสนองความประสงค์ได้มีผล 25% สุดท้ายคือ หลักคน ได้แก่ ความประพฤติ จริยธรรม คุณธรรมประจำใจของมนุษย์ ความรู้จักผิด ชอบ ชั่ว ดี และการลงมือกระทำด้วยเจตนาของตน ถือว่าเป็นการกระทำโดยตั้งใจให้บังเกิดขึ้น มีผล 25%เช่นเดียวกับหลักดิน
ทางซีกโลกตะวันตกเอง ก็มีกฎสุดฮิตที่ชื่อว่า “กฎแห่งแรงดึงดูด”หลักการคือความคิดของมนุษย์มีพลังอำนาจบันดาลโดยดึงดูดให้สิ่งที่ตนเองคิดอยู่ตลอดเวลากลายเป็นจริงในที่สุด แม้เราจะไม่ต้องการก็ตาม ตรงกับคำโบราณของไทยที่ว่า “เกลียดสิ่งไหน ได้สิ่งนั้น” เพราะเรามักนึกถึงแต่สิ่งที่เราเกลียดหรือกลัว เราจึงต้องพบเจอในส่วนนี้ มีน้องผู้หญิงคนหนึ่งเคยประสบพบเจอมากับตัว เธอเป็นคนที่ไม่ค่อยชอบผู้ชาย และเต็มไปด้วยความหวาดระแวง กลัวจะถูกผู้ชายลวนลาม น้องคนนี้หน้าตาธรรมดา ใส่แว่นตาหนาเตอะ ห่างไกลจากคำว่าเซ็กซี่ แต่น่าอัศจรรย์ ที่ชีวิตของเธอกลับต้องเผชิญวิกฤตการณ์จากน้ำมือของผู้ชายมาหลายครั้ง เธอรอดพ้นมาได้ และทำให้เราเห็นว่า กฎแรงดึงดูด ไม่ใช่ทฤษฎีเลื่อนลอย
ความเชื่อตามหลักการดังกล่าว ล้วนเชื่อมโยงกับไสยศาสตร์ทั้งสิ้น ถ้าจะสรุปให้ชัดเจน ทุกหลักความเชื่ออันเป็นหัวใจขององค์ความรู้หลักของโลกนั้น สามารถนำมาผนวกรวมกันได้โดยใช้หลักไสยศาสตร์ในการอธิบาย และทำให้บังเกิดผลสำเร็จตามความประสงค์
ไสยศาสตร์ เป็นความเชื่อส่วนบุคคล ที่เกิดขึ้นและดำรงอยู่จริง คงไม่มีใครปฏิเสธว่า ในโลกใบนี้ไร้มนุษย์ที่เชื่อไสยศาสตร์บุคคลที่มีญาณทัศนะลึกล้ำ เข้าใจเหตุปัจจัยแห่งการก่อเกิดสรรพสิ่งทั้งชีวิต สังคม และจิตวิญญาณจะไม่มองเหตุที่เกิดขึ้นเพียงด้านใดด้านหนึ่งแล้วปฏิเสธโดยสิ้นเชิงหากไสยศาสตร์ทำให้ผู้ที่เชื่อสามารถคลายทุกข์ไปได้ ไม่เบียดเบียนผู้อื่น เวทย์มนต์ไสยศาสตร์ก็มิใช่สิ่งที่เลวร้ายความงมงายในสิ่งที่ดีงามทำแล้วให้ตนเองสมหวังมีความสุขย่อมไม่ใช่สิ่งที่ไม่มีเหตุผล
บ้านมหามนตรา...ขอเปิดประตูนำท่านไปสู่อีกมุมหนึ่งของความเชื่อที่เหนือธรรมชาติณ บัดนี้!!!